LEADER | | |
008 | 200923 th 000 0 tha d tha d
|
016 | |
020 | |
082 | |
245 | |a การพัฒนารูปแบบการเสริมสร้างการรู้สารสนเทศสำหรับสังคมไทย : รายงานการวิจัย = Development of information literacy enhancement model fot Thai society / |c อาชัญญา รัตนอุบล ... [และคนอื่นๆ] |
|
260 | |a กรุงเทพฯ : |b จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, |c 2549 |
|
300 | |
500 | |a โครงการวิจัยบูรณาการเปลี่ยนผ่านการศึกษาเพื่อเข้าสู่ยุคเศรษฐกิจฐานความรู้ รองศาสตราจารย์ ดร.ไพฑูรย์ สินลารัตน์ และคณะ คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย | |a ทุนอุดหนุนการวิจัยเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ |
|
650 | |
700 | |a อำไพ ตีรณสาร | |a คัดนางค์ มณีศรี | |a กวิสรา รัตนากร | |a ยุรวัฒน์ คล้ายมงคล | |a รับขวัญ ภูษาแก้ว | |a วีระเทพ ปทุมเจริญวัฒนา | |a วรรัตน์ อภินันท์กูล | |a ไพฑูรย์ สินลารัตน์ |
|
710 | |a สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ | |a คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย |
|
740 | |a Development of information literacy enhancement model fot Thai society |
|
856 | |
949 | |a ห้องสมุดอาจารย์ (แถบสีชมพู) |
|
520 | |a การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิจัยและพัฒนารูปแบบการเสริทสร้างการรู้สารสนเทศของคนไทยและนำไปทดลองปฏิบัติ การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยและพัฒนา โดยใช้หลักการพัฒนารูปแบบการรู้สารสนเทศตามแนวคิดหลักการ NET คือ Networking, Edutainment, และ Tailor-made ขั้นตอนการวิจัยมีดังนี้ ขั้นตอนที่ 1 การพัฒนารูปแบบ ขั้นตอนที่ 2 การพัฒนาและตรวจสอบรูปแบบ ขั้นตอนที่ 3 การทดลองใช้รูปแบบ ขั้นตอนที่ 4 การปรับปรุงรูปแบบ โดยมีโรงเรียนที่เข้าร่วมโครงการทั้งหมดจำนวน 15 โรงเรียน ผู้วิจัยทำการจับคู่คะแนนการรู้สารสนเทศก่อนและหลังการทดลองของนักเรียนแต่ละคนเพื่อทำการวิเคราะห์ความแตกต่างของระดับการรู้สารสนเทศของนักเรียนระหว่างก่อนและหลังการทดลอง ปรากฏว่านักเรียนที่มีคะแนนทั้งก่อนและหลังการทดลองจำนวนทั้งสิ้น 3,619 คน เป็นนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 - 6 จำนวน 500 คน นักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 1 - 3 จำนวน 2,940 คน และนักเรียนระดับมัธยมศึกษาปีที่ 4 - 6 จำนวน 179 คน สรุปผลการวิจัยได้ดังนี้ ระดับการรู้สารสนเทศของนักเรียน พบว่า เมื่อพิจารณาค่ามัชฌิมเลขคณิตของทักษะการรู้สารสนเทศแต่ละขั้น และคะแนนรวมทั้งจากการประเมินพฤติกรรมและการทดสอบด้วยข้อสอบปรนัยพบว่า คะแนนการรู้สารสนเทศหลังการทดลองสูงกว่าก่อนการทดลอง เมื่อวิเคราะห์ด้วยการทดสอบค่า (T-Test) พบว่า นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 และ 6 นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 - 3 มีคะแนนทักษะการรู้สารสนเทศหลังการทดลองใช้รูปแบบการเสริมสร้างทักษะการรู้สารสนเทศสูงกว่าก่อนการทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .001 เมื่อพิจารณาค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ระหว่างคะแนนการรู้สารสนเทศก่อนและหลังการทดลองพบว่า มีสหสัมพันธ์ทางบวกในระดับปานกลางอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .001 และเมื่อพิจารณาค่ามัชฌิมเลขคณิตของคะแนนการรู้สารสนเทศของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย (ม.4 - ม.6) เห็นได้ว่า คะแนนการรู้สารสนเทศหลังการทดลองสูงกว่าก่อนการทดลองเพียงเล็กน้อย เมื่อทดสอบความแตกต่างด้วยค่าที (t-test) พบว่า ความแตกต่างของค่ามัชฌิมเลขคณิตของคะแนนการรู้สารสนเทศแต่ละขั้นตอน คะแนนรวม และคะแนนจากข้อสอบปรนัยไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ เมื่อพิจารณาค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ระหว่างคะแนนการรู้สารสนเทศก่อนและหลังการทดลองพบว่า คะแนนบูรณาการวิถีการใช้งานก่อนและหลังการทดลองมีสหสัมพันธ์ทางบวกระดับต่ำอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และคะแนนจากข้อสอบปรนัยก่อนการทดลองและหลังการทดลองมีสหสัมพันธ์ทางบวกระดับปานกลางค่อนข้างต่ำอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .001 รูปแบบการรู้สารสนเทศประกอบด้วย การส่งเสริมความเข้าใจแก่ผู้บริหาร การอบรมพัฒนาครูเกี่ยวกับการรู้สารสนเทศ การสนับสนุนทรัพยากรการเรียนรู้สารสนเทศ โดยยึดหลัก Networking (N) Edutainment (E) และ Tailor-made (T) ผ่านกิจกรรมการรู้สารสนเทศ ดังนี้ Website CD-ROM คู่มือครู การ์ตูนสารสนเทศ พัฒนาเป็นแผนการสอนของครู ผลลัพธ์ที่ได้คือการรู้สารสนเทศของผู้เรียนตามขั้นตอน ดังนี้ 1. กำหนดภารกิจ 2. ตรงจุดเข้าถึงแหล่ง 3. ประเมินสารสนเทศ 4. บูรณาการวิถีการใช้งาน ผลของการใช้รูปแบบการเสริมสร้างการรู้สารสนเทศ ตามความคิดเห็นของคณาจารย์ พบว่า ส่วนใหญ่เริ่มเข้าใจและให้ความสำคัญต่อการส่งเสริมการเรียนรู้สารสนเทศให้แก่เด็กนักเรียนของตน และพยายามคิดค้นกลยุทธ์ในการเสริมสร้างการรู้สารสนเทศให้เหมาะสมกับธรรมชาติและบริบทของแต่ละท้องถิ่น โดยครูได้อำนวยความสะดวกให้นักเรียนได้เรียนรู้สารสนเทศทั้งในโรงเรียนและในชุมชน ตามความคิดเห็นของนักเรียน พบว่า นักเรียนสามารถมีความสุขและชอบการเรียนสารสนเทศ โดยเฉพาะขั้น "ตรงจุดเข้าถึงแหล่ง" เพราะได้มีโอกาสแสวงหาความรู้ได้ตามที่ต้องการ โดยนักเรียนกำหนดสิ่งที่ตนต้องการเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง มีโอกาสค้นคว้าศึกษาหาความรู้จากแหล่งความรู้ต่างๆ ทั้งจากโลกแห่งความเป็นจริงภายในและภายนอกโรงเรียน และโลกอิเล็คทรอนิกส์ |
|